องค์กร
องค์กร (อังกฤษ: organization) หมายถึง บุคคลกลุ่มหนึ่งที่มารวมตัวกัน
โดยมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน
และดำเนินกิจกรรมบางอย่างร่วมกันอย่างมีขั้นตอนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น
โดยมีทั้ง องค์กรที่แสวงหาผลกำไร คือองค์กรที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ และ
องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร คือองค์กรที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์เป็นหลัก
เช่น สมาคม สถาบัน มูลนิธิ เป็นต้น
องค์ประกอบขององค์การ
ประกอบหลัก 4 ประการดังนี้
1.วัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการก่อตั้งองค์การขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติกิจกรรม
2.โครงสร้าง องค์การต้องมีการจัดแบ่งหน่วยงานภายใน โดยอาศัยหลักการกำหนดอำนาจหน้าที่
การแบ่งงานกันทำตามความชำนาญเพาะอย่างและการบังคับบัญชาตามลำดับชั้นอันจะเป็นหนทางนำไปสู่การร่วมมือประสานงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
3.กระบวนการปฏิบัติงาน
หมายถึงแบบอย่างหรือวิธีปฏิบัติกิจกรรมหรืองานที่กำหนดขึ้นไว้อย่างมีแบบแผน
เพื่อให้ทุกคนในองค์การใช้เป็นหลักในการปฏิบัติงาน
4.บุคคล
องค์การต้องประกอบด้วยกลุ่มบุคคลที่เป็นสมาชิกโดยกำหนดหน้าที่ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ภายใต้โครงสร้างที่จัดตามกระบวนการปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์
วัฒนธรรมองค์การ( Organizational
culture ) หรือวัฒนธรรมบริษัท ( Corporate culture )
หมายถึง
แนวทางที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันในองค์การ
ซึ่งวัฒนธรรมองค์การจะมีอิทธิพลต่อทัศนคติและพฤติกรรมของสมาชิกในองค์การ
หรือหมายถึงโครงร่างเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจ (Cognitive
framework) ซึ่งจะมีลักษณะ
1.บ่งชี้ถึงกลุ่มของค่านิยม
(set of values) ซึ่งบุคคลที่อยู่ในองค์การนั้นยึดถือร่วมกัน
ค่านิยมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ใช้เป็นเกณฑ์เพื่อตัดสินว่าพฤติกรรมใดเป็นสิ่งที่ดีและสามารถยอมรับได้
พฤติกรรมใดบ้างที่ไม่ดี และไม่อาจยอมรับได้
2.ค่านิยมององค์การส่วนใหญ่อยู่ในลักษณะที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
แต่เกิดมาจากข้อสมมุติพื้นฐาน (basic
assumption) ของพนักงานในบริษัทร่วมกัน
จึงเป็นเรื่องยากถ้าจะให้ฝ่ายบริษัทเองกำหนดข้อสมมุติเหล่านี้
เพราะเป็นเรื่องของความเชื่อและค่านิยมส่วนบุคคล
3.
อีกลักษณะหนึ่งที่ทุกนิยามค่านิยมมีเหมือนกัน ก็คือ
การใช้สัญลักษณ์เป็นสื่อบ่งบอกความหมายของค่านิยมที่เป็นวัฒนธรรมขององค์การนั้น
ตัวอย่างที่พบเห็นบ่อย เช่น สัญลักษณ์กากบาดสีแดงบนพื้นสีขาว
เป็นเครื่องหมายแทนองค์การกาชาด ซึ่งแสดงค่านิยมเรื่องความเมตตากรุณา การให้การรักษาพยาบาลผู้ทุกข์ยาก
ภายใต้แผนที่โลกเป็นเครื่องหมายขององค์การสหประชาชาติ
แสดงถึงค่านิยมด้านการรักษาสันติภาพของโลก เป็นต้น
บริษัทและองค์การส่วนใหญ่จะพยายามสร้างตราสัญลักษณ์ที่แฝงด้วยค่านิยม
หรือวัฒนธรรมองค์การของตนนอกจากสัญลักษณ์แล้ว คำขวัญหรือ Slogan ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สะท้อนค่านิยมหรือความเชื่อซึ่งเป็นวัฒนธรรมองค์การ
สภาพแวดล้อมองค์การ (Organizational
environment)
สภาพแวดล้อมองค์การ (Organizational
environment) คือ ชุดของอิทธิพลที่อยู่รอบ (forces
surrounding) องค์การ และมีผลกระทบต่อวิธีการดำเนินงานและการเข้าถึงทรัพยากรที่หาได้ยาก
(scarce resources) ขององค์การ
ประเภท
1.สภาพแวดล้อมภายนอก (External
Environment)
2.สภาพแวดล้อมทั่วไป (General
environment) คือ ทุกสิ่งที่อยู่นอกพรมแดนขององค์การ เช่น เศรษฐกิจ
กฎหมาย การเมือง สังคม-วัฒนธรรม ต่างประเทศ และเทคนิค
3.สภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับงาน (Task
environment) คือ
ส่วนประกอบที่เป็นกลุ่มและองค์การที่มีผลกระทบต่อองค์การโดยเฉพาะ
4.สภาพแวดล้อมภายใน (Internal
Environment)
5.สภาพการณ์ปัจจุบันที่มีอิทธิพลต่องานภายในองค์การ
โครงสร้างองค์การ
(Organization Structure)
โครงสร้างองค์การ (Organization Structure) หมายถึง ระบบการติดต่อสื่อสาร
และอำนาจบังคับบัญชาที่เชื่อมต่อคน และกลุ่มคนเข้าด้วยกัน เพื่อทำงานร่วมกันจนบรรลุเป้าหมายขององค์การ
โครงสร้างขององค์การประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ (Objective)
2. ภาระหน้าที่ (Function)
3. การแบ่งงานกันทำ (Division of
Work)
4. การบังคับบัญชา (Hierarchy)
5. ช่วงของการควบคุม (Span of
Control)
6. เอกภาพการบังคับบัญชา (Unity of
Command)
ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
(Strategic Information Systems: SIS)
ความสำคัญของระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
• บทบาทที่สำคัญประการหนึ่งของระบบสารสนเทศ คือ
บทบาทในด้านกลยุทธ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงลักษณะสินค้าหรือบริการ กระบวนการทำงาน
องค์การ โครงสร้างอุตสาหกรรมและการแข่งขันได้
จึงมีหลายองค์กรที่ได้นำเอาระบบสารสนเทศมาเป็นเครื่องมือ
และสร้างความได้เปรียบในด้านการแข่งขัน
ความหมายของระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
ความหมายของระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
SIS ได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายท่าน เช่น
•
ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ (SIS) คือ
ระบบคอมพิวเตอร์ในระดับใดก็ตามขององค์การซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์
การดำเนินงาน ผลผลิต การบริการหรือความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ขององค์การ
เพื่อที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับองค์การ (Laudon & Laudon,
1995)
ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
(SIS) คือ
ระบบสารสนเทศที่สนับสนุนหรือสร้างตัวแปรและกลยุทธ์ความได้เปรียบในการแข่งขัน SIS
อาจจะเป็นระบบสารสนเทศแบบใดก็ได้ TPS, MRS, DSS, ฯลฯ ที่ช่วยทำให้ความได้เปรียบในการแข่งขันเพิ่มขึ้น
ลดความเสียเปรียบในการแข่งขัน หรือช่วยในการบรรลุผลด้านกลยุทธ์อื่น ๆ (Normann, 1994)
กรอบแนวคิดเรื่องระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
กลยุทธ์ในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
1)กลยุทธ์การใช้ต้นทุนต่ำ
(Cost Leadership Strategy) เช่น Air Asia ใช้ ระบบการจองตั๋ว ผ่านระบบ Internet ช่วยลดต้นทุนการจ้างพนักงานตัวแทนจำหน่าย
2)กลยุทธ์สร้างความแตกต่าง
(Differentiation Strategy)
เช่น
โทรศัพท์มือถือ Hutch นำระบบ GIS
เข้ามาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการเลือกเส้นทางเดินทาง
หรือตรวจสอบที่อยู่ของอีกฝ่าย
3)กลยุทธ์ในการเน้นกลุ่มเป้าหมาย
(Focus Strategy)
เช่น บริษัท
บัตรกรุงไทย (KTC) เสนอทางเลือกการใช้บัตรให้แก่สมาชิก
โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายพฤติกรรมการใช้ของลูกค้า
4)กลยุทธ์ด้านนวัตกรรม
(Innovation Strategy)
เช่น
ร้านหนังสือ online ชื่อ amazon.com ได้นำระบบ E-commerce มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ
โดยที่ร้านไม่มีสถานที่ที่ตั้งให้ลูกค้าได้ไปเยี่ยมชมเลือกซื้อหนังสือ
แต่สามารถทำกำไรได้หลายร้อยล้านดอลล่าต่อปี
5.กลยุทธ์ด้านพันธมิตร
(Alliance Strategy)
เช่น บริษัท ชิน คอร์ป ร่วมมือกับ แอร์ เอเชีย
ดำเนินธุรกิจสายการบินแบบประหยัด (low cost) และพัฒนาระบบเกี่ยวกับระบบการให้บริการ ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ
ร่วมกัน
ผลกระทบของสารสนเทศต่อการแข่งขัน
สารสนเทศมีผลกระทบต่อการแข่งขัน
3 ประการ คือ
1.
สารสนเทศเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรม และเปลี่ยนแปลงกติกาในการแข่งขัน
2.
สารสนเทศทำให้เกิดการได้เปรียบในการแข่งขัน
3.สารสนเทศสร้างธุรกิจใหม่
ผลกระทบของสารสนเทศต่อการแข่งขัน
สารสนเทศเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรม
เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมหรือรูปแบบการดำเนินงานอุตสาหกรรมได้
เช่น นำระบบคอมพิวเตอร์ เข้ามาแทนระบบ Manual System, หรือการนำสารสนเทศเข้ามาใช้ทำให้ขนาดองค์กรเล็กลง (Downsizing), นำระบบ Network มาใช้บริหารจัดการงานมากขึ้น
ทำให้สายบังคับบัญชาการทำงานไม่ชัดเจน เป็นต้น
2.
สารสนเทศทำให้เกิดการได้เปรียบในการแข่งขัน
สารสนเทศช่วยสนับสนุนการดำเนินกลยุทธ์ต่าง
ๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุน, การทำให้เกิดความแตกต่างในสินค้า/บริการ,
การสร้างนวัตกรรมใหม่, และการสร้างความร่วมมือในการดำเนินธุรกิจ
ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการประสานงานระดับต่าง ๆ ขององค์กร
3.
สารสนเทศสร้างธุรกิจใหม่
สารสนเทศทำให้เกิดธุรกิจใหม่
ๆ ขึ้นในอุตสาหกรรม 3 ทางคือ
·
ทำให้การสร้างธุรกิจใหม่มีความเป็นไปได้ทางด้านเทคนิค
·
เทคโนโลยีทำให้มีความต้องการธุรกิจใหม่ๆเพิ่มขึ้น
เช่น ธุรกิจ Hardware, Software
หรือรูปแบบการให้บริการใหม่ ๆ
·
เทคโนโลยีสร้างธุรกิจใหม่จากพื้นฐานธุรกิจเดิม
การจัดการ ( Management )
การจัดการ หรือ Management หมายถึง
กระบวนการทำงานหรือกิจกรรมที่กลุ่มบุคคลในองค์กร ร่วมกันทำงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามแนวทางที่กำหนดไว้
5 ขั้นตอนประกอบด้วย การวางแผน การจัดองค์การ การบังคับบัญชาสั่งการ การประสานงาน
และการควบคุม
ความสำคัญของการจัดการ
กระบวนการทำงานหรือการจัดการมีความสำคัญต่อองค์กรธุรกิจ
เพราะทุกขั้นตอนมีผลต่อ ความสำเร็จที่จะทำให้เกิดผลกำไรและช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถดำเนินการต่อไปได้
นอกจากนี้กระบวนการจัดการยังเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องรู้จักนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์
เนื่องจากแต่ละ องค์กรมีปัจจัยความสำเร็จที่แตกต่างกัน
กระบวนการในการจัดการ
1.
การวางแผน
การวางแผนหรือ Planning หมายถึงการพิจารณากำหนดแนวทางการทำงานให้
บรรลุเป้าหมาย
โดยเกิดจากการใช้ดุลพินิจคาดการณ์ล่วงหน้าเพื่อเป็นแนวทางการการทำงานในอนาคต
2.
การจัดองค์การ
การจัดองค์การหรือ Organizing หมายถึง
การจัดระเบียบหรือโครงสร้างของการ ทำงานภายในองค์กรให้เป็นระบบระเบียบและอยู่ในส่วนประกอบที่เหมาะสม
เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์และช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น
3.
การบังคับบัญชาสั่งการ
หรือ Commanding หมายถึง
ภาระหน้าที่ของผู้บริหารในการใช้ความสามารถชักจูงหรือหว่านล้อมผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติงานตามคำสั่ง
จนสามารถทำให้องค์กรบรรลุผลสำเร็จได้
4.
การประสานงาน
หรือ Coordinating หมายถึง
การจัดให้ทรัพยากรบุคคลภายในองค์กรทำงานประสานสัมพันธ์สอดคล้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เพื่อให้การดำเนินงานราบรื่นและบรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ
5.
การควบคุม หรือ Controlling หมายถึง กระบวนการทำงานเริ่มตั้งแต่การกำหนดมาตรฐาน
การแก้ไขการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดจนการดำเนินงานตามแผน
และการประเมินแผนเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
ระดับผู้บริหาร
1.ผู้บริหารระดับสูง (Top Manager) คือ
ผู้บริหารที่อยู่ในระดับสูงสุดของสายบังคับบัญชา
ทำหน้าที่นำองค์การไปสู่ความสำเร็จ
เป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบองค์การทั้งหมดและเป็นผู้กำหนดวัตถุประสงค์และนโยบายสำคัญๆ
ให้กับองค์การ ขอบเขตการบริหารจัดการจึงเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆ
ในสภาพแวดล้อมภายนอกและปัจจัยต่างๆ ภายในองค์การ
2.ผู้บริหารระดับกลาง (Middle Manager) คือ
ผู้บริหารที่อยู่ระดับรองลงมาจากผู้บริหารระดับสูง เป็นผู้รับเอาเป้าหมาย
นโยบายและแผนงานจากผู้บริหารระดับสูงให้นำไปปฏิบัติ
ทำหน้าที่ประสานงานโดยพยายามรวบรวมผลสำเร็จของการทำงานภายในหน่วยงานที่ตนรับผิด
ชอบอยู่ ส่งมอบให้กับผู้บริหารระดับที่อยู่สูงถัดขึ้นไป
ขณะเดียวกันก็จะคอยร่วมมือช่วยเหลือในการเผชิญและแก้ไขปัญหาที่มากระทบจากภายนอกด้วย
ผู้บริหารระดับกลางยังมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการทำงานของผู้บริหารที่อยู่ระดับล่างลงมา
3.ผู้บริหารระดับต้น (First-line Manager or First-line Supervisor) คือ ผู้บริหารระดับล่างสุด
รับผิดชอบการปฏิบัติงานของพนักงานปฏิบัติการ
เป็นผู้ใกล้ชิดและสั่งการโดยตรงกับ
พนักงานปฏิบัติการและมีโอกาสรู้ความเป็นไปของปัญหาที่เกิดขึ้นในจุดปฏิบัติงาน ในบางองค์การ
อาจจะมีกำหนดตำแหน่งงานของผู้บริหารระดับต้น เป็น Line Manager หัวหน้างาน Supervisor หัวหน้างาน Foreman ผู้นำกลุ่ม (Crew Leader) เป็นต้น
บทบาทของผู้บริหาร คือ
1. ผู้บริหารต้องทำความรู้จักกับการเปลี่ยนแปลง
(Change) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาจากการแข่งขันที่ไร้พรมแดน โลกกำลังอยู่ในยุคของเทคโนโลยี และข่าวสาร
ความรู้
เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน
2. ผู้บริหารต้องสร้างการเปลี่ยนแปลง (Change Intervention) หมายถึง แผนปฏิบัติการในการปรับแต่งสิ่งต่าง
ๆ ให้แตกต่างจากเดิม โดยอาจจะกระทำอย่างรวดเร็ว หรือกระทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
การบริหารความเปลี่ยนแปลงนั้น
ผู้บริหารต้องเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงก่อนแล้วจึงกำหนดเป้าหมาย
และเลือกวิธีที่จะนำมาใช้ในการจัดการกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องอาศัยการวางแผนการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์
แล้วจึงนำไปปฏิบัติตามแผน
3. ผู้บริหารต้องเป็นตัวแทนความเปลี่ยนแปลง (Change Agent) หมายถึง การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง
หรือมีหน้าที่ในการจัดกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรเพื่อพัฒนา
เน้นผลการปฏิบัติงานโดยส่วนรวม มากกว่าการเน้นไปที่ผลงานของแต่ละคนในองค์กร
การตัดสินใจ
หมายถึง
กระบวนการเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง จากหลาย ๆ ทางเลือกที่ได้พิจารณา
หรือประเมินอย่างดีแล้วว่า เป็นทางให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายขององค์การ
การตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญ และเกี่ยวข้องกับ หน้าที่การบริหาร หรือการจัดการเกือบทุกขั้นตอน
ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การจัดองค์การ การจัดคนเข้าทำงาน การประสานงาน และการควบคุม
ระดับการบริหาร แบ่งออกเป็น 3 ระดับได้แก่
1.การวางแผนเชิงกลยุทธ์
(Strategic Planning) เป็นงานของผู้บริหารระดับสูง
ได้แก่การวางแผนระยะยาว ที่กำหนดทิศทางขององค์กร
การกำหนดนโยบายในการจัดสรรทรัพยากรและการวางแผนเชิงกลยุทธ์ระยะยาว
2.การควบคุมการบริหาร
(Management Control) เป็นงานของผู้บริหารระดับกลาง
ได้แก่ การวางแผนในการปฏิบัติงาน การติดตามการทำงานตามแผนที่วางไว้
การตรวจสอบและติดตามงานว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ หรือไม่ การจัดสรรทรัพยากร
การประเมินผลของการทำงานและการตรวจสอบว่ามีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรหรือไม่
3.การควบคุมการปฏิบัติงาน
(Operational Control) เป็นงานของผู้บริหารระดับล่าง
ได้แก่การดำเนินงานที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนดไว้ให้ได้ผล และมีประสิทธิภาพ
ประเภทของการตัดสินใจ
ประเภทของการตัดสินใจมี
3 ประเภท ได้แก่
1.การตัดสินใจแบบโครงสร้าง(Structure) เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
จึงมีมาตรฐานในการตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหาอยู่แล้ว โดยวิธีการในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดจะถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน
ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ เช่น การหาระดับสินค้าคงคลังที่เหมาะสม
หรือการเลือกกลยุทธ์ในการลงทุนที่เหมาะสมที่สุด
เมื่อมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดหรือเพื่อให้เกิดกำไรสูงสุด
การตัดสินใจแบบนี้จึงมักใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์(Mathematical Model บางครั้งอาจนำระบบสนับสนุนการตัดสินใจและระบบผู้เชี่ยวชาญเข้ามาใช้ร่วมด้วย
2.การตัดสินใจแบบไม่เป็นโครงสร้าง(Unstructure) บางครั้งเรียกว่า
แบบไม่เคยกำหนดล่วงหน้ามาก่อน (Nonprogrammed) เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาซึ่งมีรูปแบบไม่ชัดเจนหรือมีความซับซ้อน
จึงไม่มีแนวทางในการแก้ปัญหาแน่นอน
เป็นปัญหาที่ไม่มีการระบุวิธีแก้ไว้อย่างชัดเจนว่าต้องทำอะไรบ้าง
การตัดสินใจกับปัญหาลักษณะนี้ จะไม่มีเครื่องมืออะไรมาช่วย
มักเป็นปัญหาของผู้บริหารระดับสูง ต้องใช้สัญชาตญาณ ประสบการณ์
และความรู้ของผู้บริหารในการตัดสินใจ
3.การตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง
(Semistructure) เป็นการตัดสินใจแบผสมระหว่างแบบโครงสร้างและแบบไม่เป็นโครงสร้าง
คือบางส่วนสามารถตัดสินใจแบบโครงสร้างได้ แต่บางส่วนไม่สามารถทำได้
โดยปัญหาแบบกึ่งโครงสร้างนี้ จะใช้วิธีแก้ปัญหาแบบมาตรฐานและการพิจารณาโดยมนุษย์รวมเข้าไว้ด้วยกัน
คือมีลักษณะเป็นกึ่งโครงสร้าง แต่มีความซับซ้อนมากขึ้น ขั้นตอนจึงไม่ชัดเจนว่า
จะมีขั้นตอนอย่างไร ปัญหาบางส่วนเขียนเป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ได้
แต่ปัญหาบางส่วนไม่สามารถเขียนออกมาในรูปของแบบจำลองได้
ขบวนการในการตัดสินใจและการสร้างตัวแบบ ประกอบด้วย
1.
การกำหนดปัญหา (Intelligent Phase) เป็นขั้นตอนในการกำหนดหรือนิยามปัญหาที่เกิดขึ้น
2.
การออกแบบ (Design Phase) เป็นขั้นตอนในการสร้างตัวแบบเพื่อแทนตัวระบบจริง
ตั้งสมมติฐานและเขียนความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งหมด กำหนดเงื่อนไขแบบต่างๆ
และทำการพัฒนาทางเลือกต่างๆ ขึ้น
3.
การเลือก (Choice Phase) เป็นขั้นตอนในการเลือกชุดของทางเลือกที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหา
และ ทำการทดลองกับทางเลือกนั้นก่อน และเลือกทางที่สมเหตุสมผลที่สุด
4.
การนำไปปฏิบัติ
(Implementation Phase) เป็นขั้นตอนในการนำทางเลือกที่เลือกไว้มาปฏิบัติจริงเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
5.
การตรวจสอบ (Monitoring Phase) เป็นขั้นตอนที่ผู้ตัดสินใจทำการประเมินผลของทางเลือกที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหา

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น