ระบบสานสนเทศที่สนับสนุนธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (Enterprise
Applications)
แบ่งออกเป็น
1. ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce : E-Commere,
EC)
2. ระบบการวางแผนทรัพยากรทางธรุกิจ (Enterprise Resource Planning
System : ERP)
3. ระบบการบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship
Management System : CRM)
4. ระบบการบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management System :
SCM)
ระบบการวางแผนทรัพยากรขององค์กร
ในองค์กรแต่ละที่จะมีหน่วยงานภายในแต่ละแผนกต่างๆ
โดยแต่ละหน่วยงานจะมีกระบวนการทำงานที่ทำให้เกิดข้อมูลมากมาย
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกันจึงเกิดเป็นระบบ Enterprise
Resource Planning System หรือ ERP
ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารธุรกิจ ซึ่งหมายถึง
การวางแผนควบคุมการปฏิบัติงานและการจัดการทรัพยากรสารสนเทศจากการทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นในองค์กรโดยรวม
โครงสร้างของ ERP แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม
1. Material Resource Planning (MRP)
ระบบสารสนเทศเพ่อใช้ในการจัดทำแผนความต้องการวัสดุ โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่างคือ
ตารางผลิตหลัก แฟ้มข้อมูลบัญชีรายการวัสดุ และแฟ้มข้อมูลสถานะคงคลัง
2. Finance Resource Management (FRM)
ระบบสารสนเทศที่เน้นให้บริการเกี่ยวกับการเงินและบัญชี โดยอิงตามกฎหมายประเทศนั้นๆ
FRM เป็นส่วนประกอบหลักของ ERP ในรูปของรายงาน เช่น กรมสรรพกร เป็นต้น
3. Human Resource Management (HRM) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานทางบุคคล
4. Customer Resource Management (CRM)
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและลูกค้า
เพื่อให้เป็นความสัมพันธ์ระยะยาว จะศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้า ความสนใจ
ความต้องการเพื่อนำมาวิเคราะห์และนำเสนอต่อลูกค้า
5. Supply Chain Management (SCM) ระบบสารสนเทศเพื่อจัดการกระบวนการไหลของวัตถุ
สินค้า ข้อมูลและธุรกรรมต่างๆ
ลักษณะสำคัญของ ERP
1.การบูรณาการระบบงานต่างๆ เข้าด้วยตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้าง การผลิต
การขาย บัญชี การเงินและการบริหารบุคคล แต่ละส่วนจะเชื่อมโยงในด้านวัตถุดิบสินค้า
(Material Flow) และการไหลของข้อมูล (Information flow) ERP ทำหน้าที่เป็นระบบการจัดการข้อมูล
2.รวมระบบงานต่างๆแบบ Real time ทำให้ข้อมูลเกิดขึ้นในเวลาจริงทันทีช่วยให้สามารถทำการปิดบัญชีได้ทุกวันเป็นรายวัน
คำนวณ ต้นทุนและกำไรขาดทุนของบริษัท
3.ระบบ ERP มีฐานข้อมูลรวม โดยฐานข้อมูลนี้สามารถถูกเรียกใช้ได้จากระบบอื่นได้โดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องทำ
Batch Processing หรือ File Transfer และทำให้ข้อมูลนั้นมีอยู่ที่เดียวได้ ไม่ซ้ำซ้อน
ไม่มีความผิดพลาด การขัดแย้งของข้อมูล และเกิดประสิทธิภาพ
คุณสมบัติที่ดีของ ERP
1.มีความยืดหยุ่น(Flexible) รองรับการปรับเปลี่ยนขององค์กรในอนาคตได้
และการเก็บข้อมูลควรใช้ฐานข้อมูลกลางเดียวกัน เพื่อสามารถบูรณาการข้อมูลได้
2.โมดูลเป็นอิสระจากกัน(Modular) ERP โมดูลหลายโมดูลควรมีการทำงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
มีอิสระต่อกัน เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่กระทบโมดูลอื่น
3.ความครอบคลุม(Comprehensive)
รองรับการทำงานได้หลายฟังก์ชั่นและต้องรองรับการทำงานได้หลายแพลตฟอร์ม
4.การเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศอื่นนอกเหนือจากองค์กร(Beyond the
Company) สามารถเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศอื่นๆขององค์กรได้ไม่จำกัดเพียงERP
5.ระบบการทำงานที่ดี (Belong the Best Business Practices)
มีกระบวนการทำงานเป็นมาตรฐาน องค์กรสามารถปรับแต่งได้ตามความเหมาะสมขององค์กร
ประโยชน์ของ ERP
1.เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานและปฎิบัติงานให้กระบวนการทำงาน
2.สร้างระบบงานและกระบวนการทำงานที่ถูกต้อง รวดเร็วเพียงครั้งเดียว
เชื่อมโยงได้ทั้งองค์กร
3.ลดความซ้ำซ้อนการเก็บข้อมูล
4.มีศูนย์รวมระบบข้อมูลสารสนเทศที่ช่วยตัดสินใจ
5.นำกระบวนการทำงานที่ดีที่สุดมาใช้ในองค์กร
6.มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน ขยายระบบงานให้ตรงตามกระบวนการ
7.มีระบบการควบคุมภายในและรักษาความปลอดภัยที่ดี
8.ทำให้เกิดรายงานและการวิเคราะห์ที่สามารถใช้ในการวางแผนได้
9.ช่วยลดค่าใช้จ่าย
SAP (System Application and Product in Data
Processing) คือโปรแกรมช่วยจัดการงานทุกงานของธุรกิจให้เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ออกแบบมาเพื่อรองรับการดำเนินงานของธุรกิจหรือหน่วยงาน ง่ายต่อการใช้งาน เช่น
1 การจัดทำเหมืองข้อมูล
2 การจัดทำคลังข้อมูล
3 ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า
4 การทำ Strategic Management, Balance Score Card กาติดตามและประเมินผล
การดำเนินงานตามตัวชี้วัด (KPI) การวิเคราะห์แนวโน้ม
การวิเคราะห์สถานภาพปัจจุบัน อดีตและอนาคตองค์กร
ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ หรือ ซีอาร์เอ็ม (Customer
Relationship Management : CRM)
การจัดการกิจกรรมลูกค้าในปัจจุบัน และลูกค้าที่คาดว่าจะมีในอนาคต
สาเหตุที่ต้องมี CRM คือ
·
การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้น
·
อำนาจซื้ออยู่ที่ลูกค้า
·
การหาลูกค้าใหม่มีต้นทุนสูง
·
ลูกค้าที่อยู่กับบริษัทนาน เป็นลูกค้าที่มีคุณค่า
·
ลูกค้ามีความคาดหวังสูง บริษัทต้องตอบสนอง
·
หลัก 80 : 20 ทำให้ต้องจัดการลูกค้าแต่ละกลุ่มต่างกัน
·
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ช่วยให้เลือกลูกค้าที่ถูกต้องและรวดเร็ว
ประเภทของ CRM
1. Operational CRM เชิงปฎิบัติการ
เป็นดำเนินการที่ประกอบไปด้วยการให้บริการลูกค้า การจัดการการสั่งซื้อลูกค้า
การชำระเงินและการจัดส่ง การตลาด/ขายแบบอัตโนมัติ
2. Analytical CRM เชิงวิเคราะห์ เป็นการดำเนินการที่รวบรวม จัดเก็บ
ดึงข้อมูลจากฐานลูกค้า มาประมวลผล แปลความ
และรายงานข้อมูลลูกค้าเพื่อประโยชน์การวิเคราะห์ทางการตลาด
3. Collaboration CRM เชิงการทำงานร่วมกันเป็นการประสานงานทั้งหมดร่วมกันระหว่างบริษัทกับลูกค้า
ประโยชน์ของ CRM
1. สร้างความจงรักภักดีของลูกค้าในระยะยาว
2. เพิ่มยอดขายระยะยาว
3. สร้างประวัติและชื่อเสียงที่ดีของบริษัท
4. เพิ่มโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ
5. เก็บข้อมูลของลูกค้าในระบบอิเล็กทรอนิกส์
6. เป็นเครื่องมือช่วยเชื่อมต่อเข้ากับระบบงานอื่นๆ
ขั้นตอนของ CRM
1. ค้นหาคุณค่าที่ลูกค้าต้องกี่ และคุณค่าที่เหนือกว่าคู่แข่ง
2. กำหนดตลาดเป้าหมาย
3. นำเสนอคุณค่าแก่ลูกค้า
4. การประเมิน
ระบบที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้การจัดการลูกค้าสัมพันธ์
เรียกว่าลูกค้าสัมพันธ์ออนไลน์ e-CRM
(Electronic Customer Relationship Management)
คือ
การบริหารจัดการความสัมพันธ์ของลูกค้าโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง
คุณสมบัติที่ดีของ e-CRM
·
มีความสามารถในการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ
·
มีความสามารถในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
·
ประเมินความต้องการของลูกค้าล่วงหน้าได้
·
มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในระบบการทำงาน
·
มีการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในการรับข้อมูลที่สนใจและทันเหตุการณ์
ระบบบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management System :
SCM )
กระบวนการโดยรวมของการไหลของวัสดุ สินค้า ข้อมูล และธุรกรรมต่างๆ
โดยที่งค์กรต่างๆมีความเกี่ยวข้องกัน
ลำดับส่วนประกอบห่วงโซ่อุปทาน เรียงได้ดังนี้
1) ผู้จัดจ่ายวัตถุดิบและส่วนประกอบ (Raw Material/component)
2) ผู้ผลิต (Manufacturers)
3) ผู้ค่าส่ง/ผู้กระจายสินค้า (Wholesalers/distribution)
4) ผู้ค้าปลีก (Retailers)
5) ผู้บริโภค (Customer)
สาเหตุที่ต้องมี SCM
เกิดปัญหาในการดำเนินงาน คือ
1. ความไม่แน่นอนของ supply chain คือความต้องการจริงอาจเปลี่ยนแปลงไป
2. ความยุ่งยากในการกำหนดระดับสินค้าคงคลัง inventory level ที่เหมาะสม
3. ความจำเป็นต้องประสานงานกับดำเนินงาน
ประโยชน์ของ SCM
กระบวนการของ SCM จะช่วยยกระดับความสามารถในการบริหาร ดังนี้
·
ลดระดับของสินค้าคงคลัง
·
เพิ่มผลิตภาพ
·
ลดความสูญเปล่าในการะบวนการทำงาน
·
ลดรอบเวลาของการทำธุรกรรม
·
การเพิ่มโอกาสในการออกสินค้าใหม่เร็วขึ้น
·
การเปิดตลาดใหม่ๆ
·
การสร้างความพอใจแก่ลูกค้ามากขึ้น
·
การลดต้นทุนจริง
·
มีการบริหารเงินทุนหมุนเวียนที่ดี
โครงสร้างของ SCM
1. Upstream supply chain ห่วงโซ่ต้นทาง การดำเนินงานขององค์กร
2. Internal supply chain ห่วงโซ่ภายใน
การดำเนินงานขององค์กรเพื่อเปลี่ยนวัสดุให้เป็นสินค้า
3. Downstream supply chain ห่วงโซ่ปลายทาง การดำเนินงานกระจายสินค้า จัดเก็บ
ขนส่ง และบริการหลังการขาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น